หลวงปู่พรหม จิรปุญโญ
การทำความชั่ว…ถ้ามนุษย์พึงปรารถนาใช้สติและปัญญาเที่ยวสร้างสรรค์แต่ความชั่วร้ายป่าเถื่อน…อันประกอบตนเองลดฐานะของจิตใจให้ตกอยู่กับฝ่ายชั่วร้าย ก็มีแต่เที่ยวเบียดเบียนบั่นทอนผู้อื่นให้ได้ความทุกข์เดือดร้อน ออกเกะกะระราน เที่ยวฆ่า ปล้น ชิงทรัพย์ ทำลายล้างให้ตนเองและวงศาคณาญาติ ลุกลามไปในชุมชนน้อยใหญ่ ก็จะมีแต่ก่อเวรภัยหาความสุขมิได้ ยิ่งมนุษย์นำสติปัญญาที่มัวเมาไปด้วยความชั่วและสิ่งเลวร้าย มีนายคือ จอมกิเลสคอยบงการ ก็เอาสติปัญญานั้นแหละเที่ยวค้นคิดสร้างอาวุธยุทธนา แล้วนำมารบราฆ่าฟันกันตาย ทำลายชีวิตและสมบัติซึ่งกันและกัน ทำลายล้างแม้ประเทศชาติบ้านเมืองให้ฉิบหายล่มจม ล้างผลาญแม้กระทั่งสมณะเณร ชี ให้ได้รับความเดือดร้อนอย่างที่เราท่านทั้งหลายมองเห็นอยู่ในปัจจุบัน เมื่อยังไม่ตายหายจาก วิบากของความชั่วเลวร้ายนั้นก็คอยไล่ล้างผลาญตนเองให้เที่ยวหนีซุกซ่อน เหมือนสัตว์ที่ถูกน้ำร้อน เลยหาความสุขไม่ได้ เป็นนรกบนดินด้วยเหตุฉะนี้”
เพราะฉะนั้น ธรรมะที่หลวงปู่พรหม จิรปุญโญ ท่านได้เมตตาประทานให้แก่พวกเราทั้งหลาย ก็เพื่อสอนสั่งให้พวกเรา จงทำแต่ความดีที่มีคุณประโยชน์…จงอย่าทำความชั่ว เพราะรังแต่จะเกิดโทษอันอเนกอนันต์ ท่านให้เรามีสติปัญญา พิจารณาตรึกตรองให้มีทาน มีศีล มีภาวนา ก็จะบังเกิดปัญญาธรรมอันล้ำค่ามหาศาลนั่นเอง
ที่วัดบ้านดงเย็น สมัยเมื่อหลวงปู่พรหมท่านยังมีชีวิตอยู่ ก็มักมีบรรดาท่านสาธุชนเดินทางไปกราบมนัสการท่านอยู่เสมอๆ แม้หนทางในสมัยนั้นการคมนาคมไม่สะดวกอย่างเช่นปัจจุบันนี้ การเข้าไปพบเพื่อมนัสการมิใช่ของง่าย ทางก็ไม่ดี อีกทั้งยังเป็นป่าไม้อันหนาแน่น ถึงกระนั้นทุกคนก็ได้พยายามจนไปถึงที่ท่านจำพรรษาอยู่อย่างน่าสรรเสริญยิ่ง
จิตที่ปกติแล้วของหลวงปู่พรหม จิรปุญโญ ย่อมเป็นจิตที่อัศจรรย์ คือ มีความรู้ความเห็นอันผิดไปจากมนุษย์ธรรมดาๆ จะรู้เห็นหรือเข้าใจ เมื่อคณะญาติโยมคนใดก็ตามมาถึงวัดที่ท่านจำพรรษาอยู่นั้น ท่านจะรู้วาระจิตของทุกๆ คนที่มา ท่านสามารถทายใจของทุกคนได้ถูกต้องและแม่นยำ อย่างเช่น … มีบุคคลที่ไปทำบุญกับท่านแต่มีสิ่งหวังตั้งใจมา ท่านก็จะพูดเตือนสติทันทีเมื่อพบหน้ากัน ดังนี้ “การที่จะทำบุญทำทานนั้นต้องมีใจตั้งมั่นและให้เกิดศรัทธาในบุญกุศลทานเสียก่อน ถ้าไม่ศรัทธา ใจไม่ตั้งมั่นแล้ว… อย่าทำ…จะไม่มีอะไรดีขึ้นเลย..” บางคราวจะมีญาติโยมชาย-หญิง ที่เดินทางไปถึง ก็เที่ยวเดินชมวัดและบริเวณต่างๆ แล้วพูดคุยในลักษณะประจบทำบุญเอาหน้าเอาตากันว่า…ฉันจะต้องมาสร้างโน่นมาสร้างนี่ จะทำอย่างนั้นทำอย่างนี้ แต่จิตใจนั้นมีเจตนาหวังผลหรือตั้งตัวเองให้เป็นผู้มีสนิทชิดเชื้อกับตัวท่าน มีบุญมีคุณต่อท่านแล้ว ท่านมักจะเตือนว่าถ้าไม่ศรัทธามีเจตนาเป็นอื่นก็ไม่ควรจะทำ แต่ถ้ามีญาติโยมคนใดเข้าไปมนัสการและมีเจตนาดีมองเห็นคุณมองเห็นประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นโดยส่วนรวมแล้ว แม้ยังไม่ได้บอกกล่าวแก่ผู้ใดเลย หลวงปู่พรหมก็สามารถรู้ด้วยจิตภายใน ท่านจะอนุโมทนาและกล่าวขึ้นพอเป็นปฐมดังนี้ว่า “ท่านมีเจตนาดีก็ทำไปเถิด เพราะสิ่งนั้นเป็นบุญเป็นกุศล” ขนาดหลับท่านยังรู้
หลวงปู่พรหม จิรปุญโญ ท่านเป็นพระผู้ปฏิบัติธรรมที่ควรแก่การเคารพบูชา แม้ครูบาอาจารย์ในสมัยปัจจุบันก็ยังกล่าวถึงท่าน ด้วยกิตติคุณอันงดงามอยู่เสมอ สมัยหลวงปู่พรหมท่านกลับมาถึงบ้านดงเย็น ท่านได้สร้างความอัศจรรย์แก่พวกเราให้ได้เห็นมากมาย เมื่อท่านมาอยู่ได้ไม่นานก็มีชาวบ้านบวชพระตามท่านไปหลายองค์ พวกชาวบ้านก็เข้าวัดเข้าวา ดีอกดีใจที่มีวัดปฏิบัติเป็นของตนเอง
วันที่ ๑๐ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๑๒ เค้าแห่งปริศนาธรรมความเป็นจริงได้ปรากฏชัดภายในจิตใจของหลวงปู่พรหม จิรปุญโญ เสียแล้วชาวบ้านดงเย็น อำเภอบ้านดุง จังหวัดอุดรธานี จะมีคนไหนรู้ได้บ้างว่า…ขณะนี้ต้นโพธิ์ต้นไทรที่เคยให้ความสงบสุขรื่นรมย์แก่พวกเขาทั้งหลาย กำลังจะถูกพายุอันเกิดจากอำนาจพระไตรลักษณ์ คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา มาโค่นมาถอนออกไปจากจิตใจของพวกเขา ก็เพราะความไม่เที่ยงตรง ไม่แน่นอน อยู่ไปก็มีความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ แท้จริงก็เป็นธาตุเฉยๆ ไม่ใช่ตัวตนบุคคลเราเขา หลวงปู่พรหม จิรปุญโญ จึงสามารถกำหนดรู้ชัดด้วยจิตใจอันเป็นหนึ่งของท่าน โดยได้ปลงสังขาร กล่าวอำลา ชาติ ชรา พยาธิ มรณะ ไม่ขอกลับมาพบเห็นคลุกเคล้ากันอีกต่อไป
หลวงปู่พรหม จิรปุญโญ ท่านได้แสดงธรรมปฏิบัติอันเป็นอุบายธรรมให้ทุกคนได้พิจารณาน้อมนึกถึงความตายอยู่เสมอๆ จงอย่าได้ประมาท การปฏิบัติตนให้เกิดสติปัญญาโดยเป็นเครื่องมือพิจารณาให้เห็นแก่นแท้ของธรรมะที่พระพุทธเจ้าตรัสสอนโลก พร้อมทั้งได้ชี้แนะอยู่ในตัว คือ พระพุทธองค์ทรงตรัสสอนโลก ทรงให้วินิจฉัยด้วยสติปัญญา มองดูความเคลื่อนไหวอาการของกิเลสทางใจ มีอาการเป็นไปทางใดบ้างในวันหนึ่งๆ
วันที่หลวงปู่พรหม จิรปุญโญ ท่านจะมรณภาพท่านได้เข้าห้องน้ำตั้งแต่เช้า ท่านปิดประตูใส่กลอนเงียบอยู่ จนเวลาที่จะต้องออกบิณฑบาต ผู้ที่เฝ้ารออยู่หน้าห้องน้ำก็นั่งเฉยๆ ครั้นจะบุ่มบ่ามเข้าไปก็ไม่กล้า นั่งรออยู่จนกระทั่งประตูห้องน้ำเปิด หลวงปู่ท่านโซเซออกมา ก่อนพ้นประตูท่านล้มลงไป พระผู้อยู่ใกล้วิ่งเข้าไปรับแล้วประคองท่านเข้ามานอนในห้อง… วันนั้นแทบไม่ได้ออกบิณฑบาตกันเลย ต่างก็มีหน้าที่ของตนคอยรับใช้ครูบาอาจารย์อย่างใกล้ชิดก่อนที่ท่านจะสิ้น ชีพจรของท่านแทบจะไม่เต้น เพราะทุกคนคอยตรวจเช็คกันอยู่ตลอดเวลา กาลเวลาค่อยๆ ผ่านไป ๆ แต่ละวินาทีดูเหมือนว่าโลกจะหยุดนิ่ง คนที่อยู่ใกล้ๆ ท่านต่างก็เพ่งมองดูอาการแทบไม่หายใจ เพราะความรู้สึกเป็นอย่างนั้นจริงๆ ขณะที่ท่านจะสิ้นใจ ท่านได้รวบรวมพลังจิตอันแก่กล้าลืมตาขึ้นมามองลูกศิษย์ทั้งหลาย มีทั้งพระ สามเณร อุบาสก อุบาสิกา ทุกคน คล้ายกับกล่าวอำลาแล้วท่านก็ยกมือขึ้นพนมเหนืออก เพื่อบูชาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ จากนั้นหลวงปู่พรหม จิรปุญโญ ได้จากโลกนี้ไป ชีพจรของท่านหยุดเต้น มือที่ยกขึ้นพนมตกลงข้างกาย
บัดนี้ หลวงปู่พรหมได้จากบรรดาลูกศิษย์ลูกหาทุกคนไปด้วยอาการสงบระงับ จิตเข้าสู่แดนเกษมเมื่อเวลา ๑๗.๓๐ น. ของวันที่ ๑๓ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๑๒ ด้วยโรคชรา สิริอายุได้ ๘๑ ปี พรรษา ๔๓